รู้จักนโยบายการคลัง (Fiscal Policy) มีความสำคัญอย่างไรกับระบบเศรษฐกิจในประเทศ

Highlight

  • นโยบายที่รัฐบาลและกระทรวงการคลังใช้เพื่อดูแลรายรับ-รายจ่ายของรัฐบาล
  • มุ่งเน้นใช้จ่ายรายได้ของภาครัฐ เช่น ภาษีอากร, รายได้ที่ไม่ใช่ภาษีอากร, รายจ่ายของภาครัฐ และหนี้สาธารณะ
  • นโยบายการคลังสามารถช่วยให้ระบบเศรษฐกิจภายในประเทศเติบโตได้อย่างสมดุลและเสถียรภาพ

การมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องนโยบายการคลังนั้น จะช่วยให้เราสามารถประเมินได้ว่าภาวะเศรษฐกิจแบบใด นโยบายการเงินและการคลังนั้นจะดำเนินไปแบบไหน นั่นทำให้เราคาดเดาทิศทางของภาวะเศรษฐกิจในอนาคตได้ ซึ่งจะช่วยให้เราสามารถปรับตัวและวางแผนเกี่ยวกับการบริโภค รวมไปถึงการลงทุน ให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจที่จะเกิดขึ้นได้ในอนาคต ฉะนั้นการทำความรู้จักกับนโยบายการคลังจึงมีความจำเป็นอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว

ภาพประกอบ:ความหมายของนโยบายการคลัง

นโยบายการคลัง คืออะไร

นโยบายการคลัง (Fiscal Policy) คือ “นโยบายที่รัฐบาลใช้ในการบริหารเศรษฐกิจภายในประเทศ” ให้เป็นไปอย่างเหมาะสม โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อให้รายได้สมดุลกับการใช้จ่ายมากที่สุด ซึ่งจะช่วยรักษาเสถียรภาพและความสมดุลให้กับระบบเศรษฐกิจของประเทศทั้งในระยะสั้นและระยะยาว โดยนโยบายนี้จะมุ่งเน้นใช้จ่ายรายได้ของภาครัฐ ไม่ว่าจะเป็นภาษีอากร, รายได้ที่ไม่ใช่ภาษีอากร, รายจ่ายของภาครัฐ และหนี้สาธารณะ

ภาพประกอบ:แสดงประเภทของนโยบายการคลัง

ประเภทของนโยบายการคลัง

นโยบายการคลังมีอยู่ 2 ประเภท ดังนี้

  1. นโยบายการคลังแบบขยายตัว (Expansionary Fiscal Policy) เป็นนโยบายที่รัฐบาลจะ “ใช้เมื่อต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจให้ฟื้นตัว” ซึ่งเกิดจากการที่รัฐบาลใช้จ่ายมากกว่ารายได้ที่ตัวเองมีอยู่ นับเป็นการตั้งงบประมาณขาดดุล นั่นทำให้ภาครัฐต้องนำเงินเข้าในระบบเศรษฐกิจ เพื่อแก้ปัญหาเงินฝืดในภาวะเศรษฐกิจถดถอย
  2. นโยบายการคลังแบบหดตัว (Contractionary Fiscal Policy) เป็นนโยบายที่รัฐบาลจะ “ใช้เมื่อต้องการชะลอการเติบโตทางเศรษฐกิจภายในประเทศ” ซึ่งเกิดจากการที่รัฐบาลใช้จ่ายน้อยกว่ารายได้ที่ตัวเองมีอยู่ นับเป็นการตั้งงบประมาณเกินดุล นั่นทำให้ภาครัฐต้องนำเงินออกจากระบบเศรษฐกิจ เพื่อแก้ปัญหาเงินเฟ้อในภาวะเศรษฐกิจขยายตัวดีเกินไป

รูปภาพประกอบด้วย ข้อความ, คน, การ์ตูน

คำอธิบายที่สร้างโดยอัตโนมัติ

ภาพประกอบ:แสดงข้อดีของนโยบายการคลัง

ข้อดีของนโยบายการคลัง

นโยบายการคลังสามารถช่วยให้ระบบเศรษฐกิจภายในประเทศเติบโตได้อย่างมีความสมดุลและเสถียรภาพ ถือเป็นนโยบายที่มีความยืดหยุ่น “เพราะรัฐบาลสามารถใช้จ่ายงบประมาณเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในภาคส่วนหรืออุตสาหกรรมที่ต้องการได้อย่างตรงจุด” เช่น หากรัฐบาลต้องการสนับสนุนอุตสาหกรรมใดอุตสาหกรรมหนึ่งเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว ก็สามารถออกมาตรการยกเว้นภาษี หรืออัดฉีดเงินสนับสนุนเป็นรายอุตสาหกรรมได้โดยไม่ต้องเสียเงินกับภาคส่วนอื่น ๆ ที่ไม่จำเป็น

ผลกระทบจากการดำเนินนโยบายการคลัง

  1. ประชาชนเกิดความเคยชิน: การบรรเทาภาวะการตกงานจากการหดตัวของภาวะเศรษฐกิจ รัฐบาลมักจะมุ่งเน้นการจ้างงานชั่วคราวหรือจ้างงานผู้ที่ตกงาน เพื่อช่วยชะลอความเดือดร้อนของประชาชน หากทำเช่นนี้อย่างต่อเนื่อง ประชาชนจะเคยชินและมองว่ารัฐบาลต้องแจกเงินอยู่เรื่อย ๆ
  2. ส่งผลกระทบต่ออัตราดอกเบี้ยและการลงทุน: การมุ่งเน้นการกู้ยืมภายในประเทศ มักจะส่งผลกระทบต่ออัตราดอกเบี้ยและการลงทุน โดยอัตราดอกเบี้ยจะถูกปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลให้การลงทุนของภาคเอกชนในการขยายธุรกิจถูกชะลอตัวลงไปด้วย
  3. ต้องใช้นโยบายอย่างต่อเนื่อง: การมุ่งเน้นยกระดับราคาสินค้าเกษตร นโยบายการคลังจำนวนมากมุ่งเน้นที่จะยกระดับราคาสินค้าเกษตร โดยอ้างว่าเป็นการกระจายรายได้ไปยังเกษตรกร อย่างไรก็ตามหากใช้นโยบายนี้บ่อย ๆ ก็อาจจะต้องทำเป็นประจำ
  4. การออมในประเทศลดลง: การดำเนินนโยบายการคลังแบบขาดดุลอย่างต่อเนื่อง จะทำให้การออมในประเทศลดลง และหากรัฐบาลมุ่งเน้นการกู้ยืมเงินจากต่างประเทศ อัตราแลกเปลี่ยนก็จะแข็งค่าขึ้น ส่งผลให้การส่งออกลดลง และมีโอกาสที่ประเทศจะขาดดุลบัญชีเดินสะพัดได้

สรุปภาพรวมเกี่ยวกับนโยบายการคลัง

การพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศต้องดูจากนโยบายการเงินและนโยบายการคลัง รวมถึงวิสัยทัศน์ด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลควบคู่กันไปด้วย โดยรัฐบาลต้องออกนโยบายการคลังที่สมดุลและตรงจุด เพื่อกระตุ้นการบริโภค และสร้างรายได้ในระยะยาวให้กับประชาชนในประเทศ ไม่ว่าจะเป็นการสร้าง หรือการกระตุ้นการลงทุนในอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพในการเติบโต ทั้งนี้นโยบายที่ใช้จะมีประสิทธิภาพหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับความสามารถของรัฐบาลในการมองแนวโน้ม และคาดการณ์ความต้องการของตลาดโลกเป็นหลัก

อ้างอิง

This site uses cookies to offer you a better browsing experience. By browsing this website, you agree to our use of cookies.